การจัดรูปแบบการปกครองในระหว่างที่เป็นมณฑลอุบลราชธานี
ใน พ.ศ. ๒๔๕๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงมีพระราชดำริว่าพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์
ได้ทรงตรากตรำทำงานในถิ่นที่ทุรกันดารมาเป็นเวลานานพอสมควรและพระชันษาก็มาก
ควรที่จะได้ทรงพักผ่อนในบั้นปลายชีวิตบ้าง ประกอบกับตำแหน่งเสนาบดีว่างลง
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เสด็จกลับกรุงเทพมหานครเพื่อทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงวัง ในเดือน พฤษภาคม
๒๔๕๓ และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่เดือน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ก็เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๔๕๓
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้มีการปรับปรุงแก้ไขการปกครองในบริเวณเมืองอุบลราชธานี
ให้เหมาะสมยิ่งขึ้นหลายครั้ง คือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒
มณฑล คือ มณฑลอุบลกับมณฑลร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ ๙ เมษายน พ.ศ.
๒๔๕๕ ทั้งนี้เพราะมณฑลอีสานเดิมมีพื้นที่กว้างขวางมากเกินไป
และจำนวนประชากรก็มากจึงเป็นการยากลำบากในการปกครองควบคุม ดูแล
ให้สงบเรียบร้อยและเจริญก้าวหน้า ดังนั้นเมื่อแยกมณฑลอีสาน ๒ มณฑล แล้ว มณฑลอุบล
ประกอบด้วยจังหวัดอุบลราชธานี ขุขันธ์ และจังหวัดสุรินทร์
ส่วนมณฑลร้อยเอ็ดประกอบด้วยจังหวัดร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ และจังหวัดมหาสารคาม
หลังจากที่โปรดเกล้าฯ
ให้แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒
มณฑลแล้วเพียงไม่กี่เดือนกระทรวงมหาดไทยก็ได้ดำเนินการปรับปรุงการปกครองในบริเวณจังหวัดอุบลราชธานีอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
คือ ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๕
ได้ประกาศยุบบางอำเภอที่มีจำนวนประชากรน้อยเกินไปหรือไม่ค่อยมีความเหมาะสม
และประกาศลดฐานะบางอำเภอเป็นกิ่งอำเภอ
ผลจากการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นผลให้จังหวัดอุบลราชธานี
มี ๑๒ อำเภอ กับ ๒ กิ่งอำเภอ คือ อำเภอบูรพาอุบล อำเภอทักษิณอุบล อำเภอปจิมอุบล
อำเภออุดรอุบล อำเภอพิบูลมัง-สาหาร อำเภอพนานิคม
อำเภอมหาชนะไชย อำเภออุไทยยโสธร อำเภอปจิมยโสธร อำเภอเขมราฐ อำเภออำนาจเจริญ
และอำเภอวารินชำราบ
ส่วนอำเภอชานุมานมณฑลและอำเภอเสนางคนิคมถูกลดฐานะลงเป็นกิ่งอำเภอขึ้นกับอำเภอเขมราฐ
และอำเภออำนาจเจริญตามลำดับ นอกจากนี้กระทรวงมหาดไทย
ก็ได้สั่งยุบอำเภอโดมประดิษฐ์เสีย
ส่วนอำเภอบุณฑริกถูกลดฐานะลงเป็นกิ่งอำเภอและให้ขึ้นกับอำเภอเดชอุดม
ใน พ.ศ. ๒๔๕๖
ก็ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงชื่อเรียกอำเภอต่าง ๆ
ในบริเวณจังหวัดอุบลราชธานีอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
โดยเปลี่ยนชื่ออำเภอใหม่ ๖ อำเภอ เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ.
๒๔๕๖ ดังนี้
๑. อำเภอบูรพาอุบล เปลี่ยนชื่อเป็น อำเภอเมือง
๒. อำเภอทักษิณอุบล
” อำเภอวารินชำราบ
๓. อำเภออุดรอุบล ” อำเภอเกษมสีมา
๔ ..อำเภอปจิมอุบล ” อำเภอตระการพืชผล
๕. อำเภออุไทยยโสธร
” อำเภอคำเขื่อนแก้ว
๖. อำเภอปจิมยโสธร
” อำเภอยโสธร
ต่อมาในปี พ.ศ.
๒๔๕๙ ได้มีการเปลี่ยนแปลงในด้านการปกครองส่วนภูมิภาคที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเรียกเมืองที่เป็นศูนย์กลางที่มีอำเภอมารวมขึ้นอยู่ด้วยนั้น
เป็น “จังหวัด” ทั้งหมด เช่น
เมืองอุบลราชธานีก็เปลี่ยนเป็นจังหวัดอุบลราชธานี
เมืองสุรินทร์ก็เปลี่ยนเป็นจังหวัดสุรินทร์ ฯลฯ
ในทำนองเดียวกันผู้ปกครองเมืองที่เคยเรียกว่า
ผู้ว่าราชการเมืองนั้นก็ให้เปลี่ยนชื่อเรียกเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนับตั้งแต่วันที่
๑๙ พฤษภาคม ๒๔๕๙ เป็นต้นไป
เพื่อให้เป็นการสอดคล้องกับการประกาศเรียกนามเมืองเป็นจังหวัด
ดังกล่าว กระทรวงมหาดไทยจึงได้มีประกาศเปลี่ยนแปลง
และกำหนดชื่อของจังหวัดและอำเภอเสียใหม่ทั่วพระราชอาณา-จักร เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๐ ดังนั้นจึงปรากฏว่า บริเวณจังหวัดอุบลราชธานีมีอยู่ ๑๒ อำเภอกับ ๒
กิ่ง บางอำเภอได้มีการเปลี่ยนชื่อใหม่ส่วนบางอำเภอยังคงชื่อเดิม ไว้ดังนี้
๑. อำเภอเมือง เปลี่ยนชื่อเป็น อำเภอเมืองอุบล
๒. อำเภอตระการพืชผล
” อำเภอเขื่องใน
๓. อำเภอเกษมสีมา
” อำเภอม่วงสามสิบ
๔. อำเภอโขงเจียม ” อำเภอสุวรรณวารี
๕. อำเภอพนานิคม
” อำเภอขุหลุ
๖. อำเภอมหาชนะไชย
” อำเภอฟ้าหยาด
๗. อำเภอคำเขื่อนแก้ว
” อำเภอลุมพุก
๘. อำเภออำนาจเจริญ
” อำเภอบุ่ง
๙. อำเภอเสนางคนิคม ” กิ่งอำเภอหนองทับม้า
(ขึ้นกับอำเภอบุ่ง)
๑๐. อำเภอวารินชำราบ คงเรียกว่า อำเภอวารินชำราบ
๑๑. อำเภอพิบูลมังสาหาร
” อำเภอพิบูลมังสาหาร
๑๒. อำเภอยโสธร คงเรียกว่า อำเภอยโสธร
๑๓. อำเภอเขมราฐ ” อำเภอเขมราฐ
๑๔. กิ่งอำเภอชานุมาน ” กิ่งอำเภอชานุมาน
(ขึ้นกับเขมราฐ)
ส่วนในบริเวณจังหวัดขุขันธ์ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงชื่ออำเภอเช่นกัน
ในจำนวนนี้อำเภอเดชอุดมยังคงชื่ออำเภอเดชอุดม
แต่กิ่งอำเภอบัวบุณฑริกที่เคยขึ้นกับอำเภอเดชอุดมมาก่อนนั้นก็ให้ขึ้นกับอำเภอเดชอุดมไปตามเดิม
แต่เปลี่ยนนามเสียใหม่ว่า กิ่งอำเภอโพนงาม
การจัดรูปแบบการปกครองในบริเวณมณฑลอุบลราชธานี
ที่มีอยู่ ๓ จังหวัด และจังหวัดอุบลราชธานีแบ่งออกเป็น ๑๒ อำเภอกับ ๒
กิ่งนี้คงเป็นอยู่เช่นนี้ต่อไปจนถึงวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๔๖๕
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้รวมมณฑลอุบลราชธานี
มณฑลร้อยเอ็ด และมณฑลอุดรเข้าเป็นภาคเรียกว่า ภาคอีสาน
ดังที่ปรากฏในพระราชโองการตอนหนึ่งว่า “เวลานี้
การคมนาคมเจริญขึ้น ถึงเวลาสมควรที่จะจัดทนุบำรุงมณฑลฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ คือ
มณฑลอุดร มณฑลร้อยเอ็ด มณฑลอุบลให้ยิ่งขึ้นเพราะฉะนั้น จึงทรง โปรดเกล้าฯ
ให้ยกมณฑลทั้ง ๓ ขึ้นเป็นภาค
มีอุปราชกำกับราชการดังเช่นภาคพายัพ พระราชทานนามว่า “ภาคอีสาน” พร้อมกันนั้นก็โปรดเกล้าฯ
แต่งตั้งให้พระยาราชนิกุลสมุหเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลอุดรดำรงตำแหน่งอุปราชภาคอีสานอีกตำแหน่งหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้เอง กองบัญชาการภาคอีสานจึงตั้งอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี
ส่วนจังหวัดอุบลราชธานียังคงเป็นที่ตั้งกองบัญชาการมณฑลอยู่เช่นเดิมจนสิ้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎ-เกล้าเจ้าอยู่หัว
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ด้วยสาเหตุที่ประเทศตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างร้ายแรง จึงโปรดเกล้าฯ
ให้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการปกครองในส่วนภูมิภาคหลายประการ
สำหรับจังหวัดอุบลราชธานีซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางการเมืองการปกครอง การเก็บส่วยสา-อากร ฯลฯ
มานับตั้งแต่แรกตั้งเมือง พ.ศ. ๒๓๓๕
และเป็นที่ตั้งกองบัญชาการมณฑลมาโดยตลอด ก็ถูก ลดฐานะลงเป็นเพียงจังหวัดหนึ่งของมณฑลราชสีมา
ตั้งแต่วันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๘
เป็นต้นมา และก็คงอยู่ในสภาพเช่นนี้มาตลอดมา จนกระทั่งมีการยุบเลิกมณฑลทั้งหมดใน พ.ศ. ๒๔๗๖
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว
ในบริเวณจังหวัดอุบลราชธานี ได้มีทั้งจัดตั้งอำเภอ
การยุบหรือลดฐานะอำเภอลงเป็นกิ่งอำเภอตามความเหมาะสมและที่สำคัญที่สุด คือ ใน พ.ศ. ๒๕๑๕
รัฐบาลได้มีประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๗๐ ลงวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๕
ยกฐานะอำเภอยโสธรขึ้นเป็นจังหวัดยโสธร โดยแยกอำเภอต่าง ๆ
ที่เคยขึ้นกับจังหวัดอุบลราชธานี ๕ อำเภอ คือ อำเภอยโสธร คำเขื่อนแก้ว มหาชนะชัย
ป่าติ้วและอำเภอเลิงนกทา รวมเป็นจังหวัดยโสธรอันเป็นผลให้จำนวนพื้นที่ และ
จำนวนพลเมืองของจังหวัดอุบลราชธานีต้องลดไปบ้าง
หลังจากนั้นแล้วก็ได้มีการจัดตั้งอำเภอใหม่ในบริเวณจังหวัดอุบลราชธานีอีกหลายอำเภอจนถึง
พ.ศ. ๒๕๒๗
จังหวัดอุบลราชธานีจึงแบ่งการ
ปกครองออกเป็น ๑๙ อำเภอ ๒ กิ่งอำเภอ
สรุปความเป็นมาเกี่ยวกับการจัดการปกครองของจังหวัดอุบลราชธานี
ถึงในสมัยรัตน-โกสินทร์ตอนต้น
จังหวัดอุบลราชธานีมีฐานะเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งที่ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ
และมีเมืองในปกครองหลายเมืองเป็นเมืองที่มีบทบาทและมีความสำคัญต่อเมืองต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้เป็นอย่างมาก
เป็นศูนย์กลางการปกครองและการเก็บส่วยสาอากรและอื่น ๆ
การจัดการปกครองภายในก็จะมีคณะผู้ปกครองสูงสุดของเมืองเรียกว่า คณะอาญาสี่
หรืออาชญาสี่ ซึ่งประกอบด้วยตำแหน่งเจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ และราชบุตร
ทำหน้าที่ปกครองตามแบบอย่างที่สืบทอดมาจากกลุ่มชนที่เคยอาศัยอยู่ในประเทศลาวที่อพยพมาอยู่ในภูมิภาคนี้
ในช่วงแห่งการปฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า-อยู่หัวนั้น
จังหวัดอุบลราชธานีได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองภายใน
จากระบบที่คณะอาญาสี่เป็นคณะผู้ปกครองสูงสุดเป็นระบบที่มีเจ้าเมือง นายอำเภอ
กำนันผู้ใหญ่บ้าน และเป็นระบบที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีเพียงตำแหน่งเจ้าเมืองเท่านั้นที่ได้เปลี่ยนแปลง เป็นผู้ว่า-ราชการจังหวัด
สำหรับเมืองอุบลราชธานีก็เป็นศูนย์กลางการปกครองเช่นเดียวกับสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เพราะได้รับเลือกให้เป็นที่ตั้งกองบัญชาการมณฑลมาโดยตลอด
นับตั้งแต่มีการปรับปรุงการปกครองครั้งใหญ่เป็นต้นมา
จนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจวบจนกระทั่งได้มีการยุบเลิกมณฑลอุบลราชธานี
ใน พ.ศ. ๒๔๖๘
นับได้ว่าจังหวัดอุบลราชธานี
เป็นจังหวัดที่ได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในระบบและสิ่งต่าง ๆ
จนกลายเป็นจังหวัดที่มีความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมจังหวัดต่าง ๆ
ของเมืองไทยในปัจจุบันหลายจังหวัด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น